Archive for 2014
บทความดีมากๆๆ ต้องแชร์ !
เกรด..ไม่ใช่ทุกอย่าง ^^
บอกเล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตของผู้หญิงที่จบปริญญาตรีด้วยเกรด
2.00 ไม่ได้มาชักนำให้ไม่ตั้งใจเรียนนะ แต่อยากบอกน้องๆ หลายคนว่าอย่าท้อนะคะเกรดน้อยก็ประสบความสำเร็จได้แค่เราต้องพยายามมากขึ้นเรื่อยๆ
เราชื่อ นิก เป็นลูกสาวคนที่ 2 ของบ้าน การเรียนดีมาตลอดตั้งแต่อนุบาล พ่อแม่ชื่นชมและญาติพี่น้องก็ให้เราเป็นแบบอย่างของหลานๆ
ตอนเรียน ม.ปลายก็ได้เรียนสายวิทย์ฯ แต่ไม่ได้ไปกวดวิชาเพราะค่าใช้จ่ายสูง เกรดเฉลี่ยเกิน
3.8 ทุกเทอม อ่านหนังสือสอบเองจนกระทั่งสอบติดมหาลัยรัฐบาลอันดับแห่งหนึ่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์-คอมพิวเตอร์
แล้วชีวิตก็เปลี่ยนไปเมื่อเริ่มเรียนมหาวิทยาลัย
เราค้นพบว่าตัวเองไม่ชอบวิชาท่องจำไปสอบซึ่งบางวิชาต้องท่องจริงๆ
ตามพื้นฐานการศึกษาไทยแต่เดิม ทำได้ดีเฉพาะวิชาปฏิบัติ แต่วิชาท่องจำดันหน่วยกิจหนักกว่า T_T จนปีสุดท้ายเราเหลือวิชาโปรเจคจบ
และ วิชาพื้นฐานวิศวกรรม (เครื่องกล) หนักไปทางนั้นเป็นส่วนใหญ่ เอาเป็นว่าเราเรียนวิชานี้
7 ไม้ ตั้งแต่เริ่มเรียน W ไป 2 ครั้ง F ไป 5 ครั้ง (3 หน่วยนะคะตัวนี้ T_T ) และผ่านด้วยไม้
8 ได้เกรด B มา ตื้นตันฉันจบแล้ว จากเกรด 2.7 ก็เหลือ 2.00
กลายเป็นว่ากว่าจะจบปริญญาตรีใช้เวลา 5 ปี ไม่ต้องถามพ่อกับแม่เสียใจมากๆ ทำให้เราทะเลาะกับพ่อหลายครั้งเพราะต่างคนต่างแรง
พ่อยื่นคำขาดมา 1 คำว่า “ฉันจะไม่ส่งแกเรียน ถ้าอยากเรียนจบดิ้นรนเอาเอง”
เราเลยต้องหาทางออกทุกวิถีทาง ทุกวิธีทางจริงๆ มาดูทุกวิถีทางของเราที่ทำให้เรามีวันนี้
เริ่มจากจะเรียนจบได้ต้องมีรายจ่ายอะไรบ้าง”ถ้าพ่อไม่ส่งเรียนแล้ว” ในเวลา 2 เทอมประมาณ
9 เดือน
ค่าเทอม 25000x2 เทอม = 50000บาท
ค่าหอพัก 2200x9 เดือน = 19800 บาท
ค่าใช้จ่ายรายเดือน 3000x9 = 27000 บาท
ถ้าจะถามว่าทำไมไม่กู้ กยศ. เรากู้มา4 ปีแล้วคะ หมดสิทธ์คะ ค่าเทอมเราต้องจ่ายก่อนลงทะเบียนทุกครั้งดังนั้นเป็นสิ่งแรกที่ต้องหา
เทอมแรกของปี 5 เรายืมแฟนมาจ่ายก่อนเค้าจบปกติเลยมีงานทำด้เงินเดือน เขาเลยยื่นมมือมาช่วยแต่เราก็ต้องทำงานผ่อนจ่านคืน คือไม่อยากเป็นหนี้นานๆความรู้สึกดีๆมันอาจโดนทำร้ายเพราะเรื่องเงิน
เริ่มหางานทำ
เรารู้ว่าตัวเองต้องเรียน 5 ปีตอนเดือนกุมภาพันธ์ เปิดเทอมเทอมแรกตอนเดือนมิถุนายน
ดังนั้นจะมีเวลาว่างก่อนเปิดเทอม 3 เดือน เลยหางาน past-time ทำสมัครไปหลายที่ร้านฟาสฟู๊ด
ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า สุดท้ายได้งานที่โรงเรียนกวดวิชาเป็นผู้ช่วยสอน past-time
ได้ 300/วัน ทำงานอาทิตย์ละ 6 วัน รายได้เดือนละ 7200 บาท หลังจากหักค่าใช้จ่ายไปเหลือเก็บเดือนละ
5000 บาท ดังนั้นจะมีเงินเก็บ 15000 บาทก่อนเปิดเทอม
เรียนให้จบพร้อมทำงานหาค่าใช้จ่าย
เงิน 15000 บาทเอามาเป็นค่าประกันหอ 5000 บาท ดังนั้นจะเหลือเงินเก็บ
10000 บาทใช้ในช่วงหางานทำ เริ่มสมัครงานหลายที่แน่นอนถึงมีความสามารถในการสอบข้อเขียนบริษัทต่างๆ
พอเข้าไปสัมภาษณ์ปากเปล่าพอรู้ว่าเรายังไม่จบปริญญาตรีเขาก็ไม่รับเรา ระหว่างหางานบริษัทก็ทำอย่างอื่นไปด้วยที่พอเป็นรายได้
เลยเอาเงินเก็บออกมา 5000 ลงทุนซื้ออุปกรณ์มาค้าขาย ส่วนสูตร็จาก google นี้แระ
1. ขายแซนวิชหน้ามหาวิทยาลัยตอนเช้า
2. ขายก๋วยเตี๋ยวลุยสวนตอนเย็น
กำไรหลังหักต้นทุนก็ประมาณ 500 บาท/วัน แต่เหนื่อยมากๆ
ตื่นไปตลาดแต่เช้า เตรียมของ จัดร้าน เหนื่อยสุดๆเลย เราทำแบบนั้น 1 เดือนเต็ม รายได้
500/ขายอาทิตย์ละ 6 วัน รายได้เดือนละ 12000 บาท หลังจากหักค่าใช้จ่ายรายเดือน ค่าหอแล้วก็จะเหลือผ่อนคืนแฟนไป 5000 บาทรวมแล้ว
10200 บาท เหลือเก็บเล็กน้อย ที่เรายังจำได้แม่นแม้ผ่านมา 3 ปีแล้วเพราะเราทำบันทึกไว้ กะจะเก็บไว้เป็นสิ่งเตือนใจตลอดชีวิต เอาไว้สอนลูกหลานว่าชีวิตมีทางออก
เดือนมิถุนายนเหลือเก็บ 5000+1800 = 6800 บาท
เริ่มเดือนกรกฎาคมเราได้งานเป็น programmer
แต่ได้เงินเดือนแค่ 12000 เพราะเราไม่จบปริญญาตรี ยอมรับว่าเหนื่อยทั้งทำงานและอ่านหนังสือไปด้วยเลยต้องเลิกค้าขายทั้งๆที่เสียดายมาก
ลูกค้ากำลังติดใจ แต่งาน programmer ก็ได้เงินเดือน 12000x8 เดือน= 96000 บาท
รายได้รวมทั้งหมดนะคะ 6800+96000 = 102,800 บาท
ค่าเทอม 25000 เทอม 2 = 25000บาท
คืนแฟน
20000บาท
ค่าหอพัก 2200x8 เดือน = 17600 บาท
ค่าใช้จ่ายรายเดือน 3000x8 = 24000 บาท
กว่าจะเรียนจบน้ำตาเสียไปหลายปีบ เหมือนครอบครัวทิ้ง
เพื่อนๆ ที่เรียนมาด้วยกันก็ไม่สนใจ ไม่รับโทรศัพท์เพราะกลัวเรายืมเงินเค้ามาเรียน
แต่โชคดีที่ได้กำลังใจจากแฟนและแม่ที่แอบโทรมาหาบ้าง หลังจากเรียนจบเรามีเงินเหลือเก็บเพียง 16000 บาทแต่ก็ได้ประสบการณ์การเรียนรู้ต่างๆ
การจัดการ การแบ่งเวลา การแก้ปัญหา
ชีวิตการทำงาน
เรายังทำงานที่เดิมคะ หลังจากเรียนจบบริษัทนี้เป็น Software
House ทำงานให้รัฐบาลเป็นส่วนใหญ่ เราทำงานที่นั้น 1 ปี 6 เดือน ได้ทำโปรเจคหลายหลายตั้งแต่ทำ set
top box / ระบบทางด่วน / ระบบจัดสต๊อกของห้าง โปรเจคยักษ์ทั้งนั้นเราด้วยเป็นคนไม่เก่งก็พยายามเรียนรู้งาน
ถามพี่ๆ แม้แต่คำถามโง่ๆก็ยังถาม จนพี่เขาคงรำคาญถามกลับมาว่า “ไม่ได้เรียนมารึไง” หลังเลิกงานเราจะอยู่ต่อ 2 ช.ม. เพื่อทบทวนและหาความรู้ในจุดที่เราอ่อนมากๆ
แต่ในทางกลับกันเงินเดือนก็ยังคงได้ 12000 บาทโดยที่เราจบแล้วก็ไม่ได้เงินเพิ่มแต่อย่างใดตามที่เคยคุยกัน เราเลยตัดสินใจจะเปลี่ยนงานเพราะอยากช่วยพ่อผ่อนบ้านและอยากมีเงินให้แม่ใช้รายเดือน
ประสบการณ์ 1 ปี 6 เดือน + เกรด 2.00
แน่นอนไปสัมภาษณ์งานที่ใหม่ทุกคนก็โจมตีเกรด หาว่าไม่ตั้งใจเรียน
ทำแต่กิจกรรม พอเราอธิบายก็กลายเป็นแก้ตัว แม้ว่าเราจะสอบข้อสอบของเค้าได้ผ่านเกณฑ์ทุกประการ
สุดท้ายไม่เอาแล้วงานประจำรอนานไม่ได้สักทีหรือได้ก็ต่อราคาเพราะเกรดเฉลี่ยนี้แระว่าจบช้า
เกรดน้อย มันไม่เป็นตามโครงสร้าง เลยติดสินใจทำ Outsource ซะเลย
ได้ไป Onsite เป็น Software Engineer อยู่
2 ที่โรงงานโซนลาดกระบัง 5 เดือนและเครือข่ายโทรศัพท์ย่านอารีย์ 5 เดือน
เราทำ Outsource ได้ไป Onsite
เป็น Software Engineer อยู่ 2 ที่โรงงานโซนลาดกระบัง
5 เดือนและเครือข่ายโทรศัพท์ย่านอารีย์ 5 เดือน
Software Engineer ที่โรงงานโซนลาดระบัง เงินเดือน
20000 บาท ค่าเดินทางไม่ต้องจ่ายเพราะไปกับรถรับ-ส่ง
ของโรงงาน ทำงานที่นี้ประหยัดมากๆคะ ค่าอาหารต่อมื้อ 20 บาท กาแฟที่เค้าชงไว้แล้วแก้วละ
10 บาทเอง ทำงานที่นี้เอาเงินมา 100 บาทเหมือนคนรวยมากๆ
ลักษณะงานที่ทำรับผิดชอบออกแบบและพัฒนาระบบเช็ค Error งานให้การผลิต เหมือนเดิม ตั้งแต่เก็บ requirement / ทำเอกสารสเปค/ clear requirement กับ user/ เลือก Hardware จากดีลเลอร์/ coding debug จนทำเอกสารส่งมอบ แต่รอบนี้ต้องมาฉายเดียวไม่มีพี่มาดูแล มีแต่ user
ที่เกี่ยวข้องกับงานอยู่ด้วย ต้องขอขอบคุณประสบการณ์การงานจากที่เดิมที่ได้เรียนรู้ระบบมาทั้งหมดเลยทำให้เรารู้ว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง
love งานมากเพราะไปหนักสายฮาร์ดแวร์ IC และไมโครคอนโทรเลอร์ล้วน (ความสุขส่วนตัว)
เริ่มต้นพัฒนาทักษะตัวเอง
1. เรียนภาษาอังกฤษ
เรียกว่าฟื้นฟูตั้งแต่ A-Z ส่วนภาษาจีนกลางไปสอบวัด Level
เริ่มเรียนต่อ Level ต้อนรับ AEC กันเลย
2. หาความรู้เรื่องการลงทุนอนาคตอาจจะไปตั้งกระทู้ปรึกษาในห้องสินธรและอ่านเทคโนโลยีใหม่ๆ
หลังเลิกงาน
เริ่มต้นดูแลคนในครอบครัว
จากรายได้ 20000 บาททำให้ได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง
ผ่อนบ้านช่วยพ่อ 3000 บาท
ค่าใช้จ่ายรายเดือนของแม่ 5000 บาท
(ของพ่อ พ่อปฎิเสธ บอกเราว่าเอาไว้เหลือเยอะๆ ก่อนและพ่อเลิกทำงานก่อนค่อยให้
ส่วนแม่เลิกทำงานแล้วจึงไมมีรายได้)
ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเนต 2500 บาท
ผ่อนค่าเรียนภาษาประมาณ 3000/เดือน
ค่าใช้จ่ายแบบประหยัดมากๆ 4000 บาท
ส่วนที่เหลือก็หยอดกระปุกเก็บออมคะ
เริ่มต้นงานอิสระที่ไม่กระทบงานประจำ
เรามองธุรกิจสัตว์เลี้ยงคะ เนื่องจากคนรอบข้าง เพื่อนที่รู้จักต่างเลี้ยงสัตว์
รวมถึงเราที่เลี้ยงกระต่าย 5 ตัว เริ่มต้นจากหาข้อมูลและนำข้อเสียของร้านต่างๆมาปรับปรุงเป็นข้อดีของร้านเรา
เราเปิดร้านออนไลน์ขายอาหาร อุปกรณ์สำหรับสัตว์เล็ก จำพวก กระต่าย แกสบี้ แฮมเตอร์ ชูการ์ฯลฯ ควบคู่กับการเปิดบ้านเป็นที่รับฝากเลี้ยงยามที่เจ้าของไม่อยู่
วันหยุดยาว พาเจ้าตัวเล็กไปไม่ได้ อีกทั้งเรามีบริการไปส่งที่บ้านที่ลูกค้าเลือกใช้บริการอย่างล้นหลามหรือบริการทางไปรษณีย์
จากการเริ่มเปิดเพจ เข้ากรุ๊ปสัตว์เลี้ยง ทำให้ร้านเราเป็นที่รู้จักพอสมควร ได้เพื่อนใหม่มามากมาย
ลูกค้ามีแทบทุกเพศ ทุกวัย นอกจากเราทำหน้าที่ขายแล้ว
ต้องหาข้อมูล ให้คำปรึกษาลูกค้า โดยข้อมูลส่วนใหญ่มาจากเนตแล้วเราก็เอาไปถามสัตวแพทย์ที่สนิทกันที่โรงพยาบาลเกี่ยวกับสัตว์เล็กแถวๆวัชรพล
เพื่อยืนยันข้อมูลให้ถูกต้อง จะได้ไม่แนะนำลูกค้าผิดๆ เพราะเราของเรา “เน้นหัวใจ ก่อนกำไรเสมอ”
จากการที่เราคงมาตรฐานใส่ใจและปรับปรุงบริการ ทำให้จากขาดทุนแรกๆ
มาเป็นมีรายรับเข้ามาเรื่อยๆแม้จะไม่ได้เยอะใหญ่โตก็ทำให้เรามีเงินเก็บแบบฝากประจำมากขึ้น มีเงินไว้ Shopping บ้าง ให้เงินพ่อบ้างเวลากำไรเดือนไหนมาก
แต่ที่ดีใจที่สุดคือออมจนมีเงินพอที่จะรีโนเวทห้องครัวและห้องนอนใหญ่ของพ่อแม่ เดือนหน้านี้แล้วคะทำเสร็จแล้วจะได้รีวิวแน่นอนๆ
เวลาทำธุรกิจขายของออนไลน์ คือหลังเลิกงานหน้าที่คือ
ตอบคำถาม แพ็คของ เช็คของอย่างเดียวคะ ถ้าไม่มีเคสต้องจัดส่งถึงบ้าน ส่วนคนยืนยัน Order คือแม่นะคะ
แม่ลงทุนหัดเล่น facebook LINE
Whatapp สำหรับยืนยันออร์เดอร์ ส่วนข้อมูลไหนตอบได้แม่ก็ตอบ อันไหนไม่ได้แม่จะจดไว้ให้เรากลับมาตอบหลังเลิกงาน ส่วนสินค้าจากมือก่อนที่ต้องวิ่งไปซื้อเอง ไปคัดเอง
หาของดีที่สุด ทำมาสักพักก็มี Sale มาส่งให้เพราะเขาจะรู้ว่าเราต้องการแบบไหน นอกจากนี้ก็หาข้อมูลการขายสินค้าออนไลน์แบบไหนให้ได้ผลกำไรมาขึ้น
ศึกษาช่องทางธุรกิจนี้เพิ่ม ไว้ทางทำเป็นรูปเป็นร่างมากกว่านี้น่าจะมีโอกาสรีวิวคะ ตอนนี้ยังเป็นแบบภายในครัวเรือนเล็กๆ ค่ะ
อยากบอกน้องๆ หลายคนว่าอย่าท้อนะคะเกรดน้อยก็ประสบความสำเร็จได้
แค่เราต้องพยายามมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ
ที่มา: http://pantip.com/topic/32487426/story
อยากทำให้อร่อยๆ ให้ใครซักคนได้กิน ^^
ศาสตร์และศิลป์ของ "การเจียวไข่"
การเจียวไข่เป็นเรื่องของศิลปะ บางคนว่า แค่...ใส่ความตั้งใจเข้าไป และแสนสำคัญคือ จริงใจกับไข่...
ทว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิทยาศาสตร์ช่วยให้การทอดไข่
"ฟู" ได้ดังใจเช่นกัน
ลองไปฟังกระบวนการที่วิศวกรบางกลุ่มคิดค้นหลักการทอดไข่ให้ฟู
ด้วยวิธีดังต่อไปนี้...
1.เติมน้ำลงไปในอัตราส่วน
น้ำ 12.865 ซีซี ต่อไข่ไก่มวล 2.86792 กรัม
หรือประมาณ 2.653 ฟอง
2.หลังจากการตีไข่ด้วยเครื่องปั่นที่ความเร็ว 1200
รอบต่อวินาที เป็นเวลา 1 นาที หรือถ้าตีด้วยส้อมก็จะใช้ความเร็ว
2608.50 ทีต่อชั่วโมง
เพื่อให้อะตอมของน้ำแทรกเข้าไปในอนูของไข่อย่างเต็มที่ จากนั้นรีบเทส่วนผสมลงไปในน้ำมันที่กำลังเดือดปุดๆ
ณ อุณหภูมิประมาณ 1250.75 องศาฟาเรนไฮต์
3.ที่อุณหภูมิขนาดนั้น
จะทำให้อะตอมของน้ำทำปฏิกิริยาคาโรแดนโนโทรฟี่ไดแอ็คโครโรซีนิกส์กับน้ำมันทำให้อะตอมของน้ำเกิดการระเหยอย่างฉับพลันหรือที่เรียกกันว่า
แอนฟี่ไออ้อน ไตรแซ็คนีเฟียส ทันทีที่มีอะตอมของน้ำระเหย จะดันอะตอมของไข่ไปรอบๆ
ตัวมัน ผลก็คือ เกิดการพองเป็นเม็ดๆ ไปทั่วไข่
4.การพองดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเยี่ยงปฏิกิริยานิวเคลียร์
ทำให้ไข่ฟูฟ่องเต็มกระทะ น่ากินยิ่งนัก
5.ผลการทดลองสำเร็จไปด้วยดี แต่...เกิดผลข้างเคียงจากการผสมน้ำลงไปในไข่นั่นคือ
เกิดแก๊สอโลม่าซานโฟนิออสโพรฟิเนคีติ ซึ่งค่อนข้างมีกลิ่นหืนน้อย
ทางวิศวกรจึงได้เติมน้ำมะนาวลงไป 5.006 ซีซี หรือ 1/6
ผล
6.ผลปรากฏว่า
ไข่เจียวมีกลิ่นหอมน่าทานเป็นยิ่งนัก
จึงได้มีการเผยแพร่เคล็ดลับนี้ตามสถานีข่าวและเว็บไซต์ชั้นนำของโลก
จนเป็นที่กล่าวขวัญมาจวบจนทุกวันนี้
ป.ล. จะให้ง่ายกว่านั้น
สูตรการเจียวไข่ให้ฟูจากเคล็ดลับมือแม่ ...บีบมะนาวใส่สักเล็กน้อย
ทอดในน้ำมันร้อนๆ (ใส่น้ำมันเยอะๆ จะให้ดีควรใช้กระทะก้นลึก)
เท่านี้ก็ได้ไข่เจียวฟูหอมกรุ่นแล้ว
ที่มา นสพ.มติชน
ถึงแม้ว่าการทำไข่เจียวกินเองดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ง่ายที่สุดแล้ว
นึกอะไรไม่ออกก็ทำกิน แต่เคยไหมคะกับปัญหาทอดไข่เจียวออกมาแล้วไม่ฟู
ถึงจะฟูเผลอแป๊บเดียวก็แฟบแล้ว วันนี้เราจึงหยิบยกวิธีทอดไข่เจียวให้อร่อย ฟูฟ่อง
ไม่แฟบ แถมยังกรอบนอกนุ่มในโดยไม่ต้องใช้ตัวช่วยอะไรเลยนะคะจาก คุณ Calamity
สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มาฝาก
รับรองว่าไข่เจียวของคุณจะไม่ธรรมดาอีกต่อไป
- บีบมะนาว = ไข่ฟูตอนเจียว
แล้วจะแฟ่บภายหลังจากตักขึ้นมา
- ใส่แป้ง,ผงฟู = ไข่ฟูแล้วไม่แฟ่บ ตั้งอยู่ได้จริง แต่เนื้อไข่เจียวจะด้านไปนิด
- น้ำมันมากๆ โรยไข่จากที่สูงแล้วคนๆตีๆในกระทะ = ไข่ฟูฟ่องเป็นสายๆ ค่อนข้างอมน้ำมันเวลากินจะไม่ค่อยได้เนื้อไข่เท่าไหร่ เพราะมันจะฟู
- แยกไข่แดง ไข่ขาวตีให้ตั้งยอด = ฟูจริง แต่เสียเวลาทำมาก มีข้อด้อยคือกำหนดรูปร่างไข่ได้ลำบากด้วย
- ใส่แป้ง,ผงฟู = ไข่ฟูแล้วไม่แฟ่บ ตั้งอยู่ได้จริง แต่เนื้อไข่เจียวจะด้านไปนิด
- น้ำมันมากๆ โรยไข่จากที่สูงแล้วคนๆตีๆในกระทะ = ไข่ฟูฟ่องเป็นสายๆ ค่อนข้างอมน้ำมันเวลากินจะไม่ค่อยได้เนื้อไข่เท่าไหร่ เพราะมันจะฟู
- แยกไข่แดง ไข่ขาวตีให้ตั้งยอด = ฟูจริง แต่เสียเวลาทำมาก มีข้อด้อยคือกำหนดรูปร่างไข่ได้ลำบากด้วย
Tips : การใช้หม้อทอดไข่
เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ได้ทุกข้อ ทั้งความง่ายในการทอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลับไข่
ที่ทุกคนเป็นห่วงเพราะดูแล้วหม้อมันจะคับแคบ
และกลับยากแต่ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะไข่จะลอยอยู่บนน้ำมัน
และไม่ได้แตะก้นหม้อแต่อย่างใด ดังนั้นการกลับก็แค่ใช้ตะหลิว
หรือแม้กระทั้งช้อนกินข้าวนี่ล่ะตลบไข่กลับอีกด้าน
ไม่ต้องกลัวแตกหรือขาดอย่างเวลาใช้กระทะทอดด้วย
ไม่ว่าจะทำอย่างไรมันก็จะเป็นรูปกลม ๆ หนา ๆ น่ากินเช่นนี้เสมอ
นอกจากจะฟูแล้วไม่แฟบยังมีเนื้อไข่สีเหลือง
ๆ นุ่ม ๆ ให้เราได้สัมผัสด้านในด้วยไม่ใช่ ว่าฟูกรอบจนไม่เหลือเนื้อไข่ แบบนี้สิ
ไข่เจียวในฝันเลย เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม เป็นไข่เจียวที่ทำง่าย อร่อยง่าย
และพลาดยากมาก ๆ ขอเพียงมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมและใกล้เคียง
ส่วนเทคนิคในการทำนั้นแทบไม่มีอะไรเลย เป็นไข่เจียวที่ทอดทีไรก็ออกมาเหมือนกันทุกครั้ง
แบบไม่ต้องลุ้นเลย เนื้อไข่ฟูด้านนอก นุ่มนิ่มด้านในไม่อมน้ำมันด้วยนะ
“ฟัก ฝัน เฟส” เทศกาลที่ชวนวัยรุ่นให้หยุดฝันฟุ้ง แล้วมุ่งทำฝันให้เป็นจริง
“ฟัก ฝัน เฟส” เทศกาลที่ชวนวัยรุ่นให้หยุดฝันฟุ้ง
แล้วมุ่งทำฝันให้เป็นจริง
เมื่อฝันขอเด็กมัธยมทั่วประเทศ
ไม่ฟักตัว พวกเขาจึงมารวมตัวกันที่งานนี้
“ฟัก ฝัน เฟส” เทศกาลที่ชวนวัยรุ่นให้หยุดฝันฟุ้ง
แล้วมุ่งทำฝันให้เป็นจริง
เทศกาลที่รวมกว่า 24อาชีพ ที่จะพาน้องๆ
ไปรู้จักการฟักอาชีพที่ฝันให้เป็นจริง
นำฟักโดย พี่สุรชัย ผู้สร้างสรรค์ภาพนิ่งในงานโฆษณาอันดับหนึ่งของโลก, พี่ปิง เกรียงไกร ผู้กำกับ HORMONES the series season2 และพี่ปู จิรัฏฐ์ บรรณาธิการและผู้ก่อตั้ง CHEEZE Magazine
และมาฟักกับกิจกรรม “ฟัก ฟัก” ที่จะฟูมฟักความฝันของน้องๆ
ให้เป็นจริง
ฝันอย่างเดียวคงไม่พอ งานนี้ขอชวนวัยรุ่นมาฟักกัน
วันอาทิตย์ที่ 5 ต.ค. 2557ศูนย์ประชุมธรรมศาสตร์ รังสิต
รับสมัครมัธยมฯ วัยเจริญฝัน ไม่แบ่งชั้นปี จะม.ต้น ม.ปลาย
เราไม่เกี่ยง ขอแค่คุณมีฝัน และพร้อมจะฟักมันให้เป็นจริงกับพวกเรา เพียงสมัครทางเว็บไซด์
: http://a-chieve.org/experience/fukfunfest
(เข้าร่วมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย!!!)
อัพเดทข่าวสารกิจกรรม พร้อมร่วมกิจกรรมชิงรางวัลแบบฟัก
ฟัก ได้ทางเพจ "ฟักฝันเฟส" : https://www.facebook.com/fukfunfest
Sponsored by Adecco Thailand
Orgazined by a-chieve
#ฟัก #ฟักฝันเฟส #achievethailnd
#adeccothailand
3 ขั้นตอน เตรียมอ่านหนังสือให้ไหลเข้าสมอง ^^
งั้นก่อนเราจะเตรียมตัวอ่านหนังสือ
เราจะทำอย่างไรกันดีให้เรา
อ่านหนังสือได้นาน และจำได้ดี
(เวลาสอบคะแนนจะได้ออกมาสวยๆ เนอะ)
ขั้นตอนก่อนการอ่านหนังสือนะคะ
1. วอร์มอัพร่างกายสักหน่อย เช่น
ยืนยืดแขนให้สุดตัวเลย นับ 1 ถึง 10
แล้วค่อยผ่อนคลาย
♥
การหายใจไปด้วยนะคะ
2. อย่าทานอาหารมากจนเกินไป ไม่งั้นพอจะอ่านหนังสือ
หลับทุกทีเนอะ
3. ถ้าไม่รีบเกินไป ลองนั่งสมาธิสักพัก ประมาณ 5
นาที เพื่อเตรียมความพร้อมของสมองก่อน
♥
จะรับข้อมูลเข้าไปหน่ะค่ะ
แค่ 3 ขั้นตอนง่ายๆ แค่นี้ รับรองอ่านหนังสือได้คล่องเลยหล่ะค่ะ
สำหรับคนที่เตรียมตัวสอบนะคะ หมันทำทบทวน
และทำข้อสอบบ่อยๆ
นะครับ จัดเวลาให้ตัวเองไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไป
แต่เน้นสม่ำเสมอนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.jointedu.net/
"มืออาชีพด้าน International
Program"
(https://www.facebook.com/jointeducation)
13 วิธีบอกรักแม่ แบบวัยรุ่น
1. กอด
หอมแก้มแม่สักฟอด
วิธีธรรมดาและง่ายที่สุด
ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรมามาย แต่ก็สามารถส่งต่อความอบอุ่นได้ดี ไม่ต้องใช้อะไร
นอกจากอ้อมกอดจริงใจ เปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อแม่ วิธีการ ก็ง่าย
รอจังหวะที่แม่อารมณ์ดี และกำลังว่างอยู่ แล้วเราเดินไปหาแม่ บอกกับแม่ว่า “ขอกอดแม่หน่อยนะ” พร้อมกับสวมกอด
หอมแก้มแม่สักฟอดใหญ่ๆ?แล้วพูดว่า “ผมรักแม่ครับ/หนูรักแม่ค่ะ”
เห็นม๊ะง่ายจะตาย .. แต่ะ teen.mthai ว่าถ้าเพื่อนๆเป็นคนขี้อาย
ไม่ค่อยแสดงออกความรักกันมากนัก ต้องน้ำตาไหลพรากกันแน่นอน ^^
2. กราบเท้า
พร้อมพวงมาลัยงามๆ หอมๆ ชื่นใจจัง
เพื่มความมุ่งมั่นตั้งใจ
ด้วยวิธีการที่ทุ่มเทมากขึ้น?มอบพวงมาลัยดอกมะลิที่ร้อยเรียงด้วยความรัก
ถูกบรรจงวางลงกราบที่ตักแม่ ลูกก้มลงกราบแทบเท้า กอดแม่ แสดงความรักแม่และภาคภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกแม่
ขอพรจากคุณแม่ อย่าน้อยสิ่งที่คุณแม่ต้องการคือได้เห็นหน้าลูกๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส
แม่ก็พอใจมากแล้ว?อาจเป็นตอนที่แม่กำลังดูละครหลังข่าวนั่นล่ะ
คลานเข่าเข้าไปเลย วัยรุ่น กราบที่เท้าของท่าน พร้อมยื่นดอกมะลิที่เตรียมมา
อย่าลืมประโยคเด็ด “ผมรักแม่ครับ/หนูรักแม่ค่ะ” อันนี้ตามสเตปต่อจาก การกอด เลย มันมาคู่กันนะ
3. ผลการเรียน
การสอบหรูๆ ให้แม่ได้ชื่นใจ
วิธีนี้ไม่ต้องเป็นลูกๆ ที่เรียนเก่งก็ได้
ความจริงเหมาะสำหรับเด็กดื้อที่ตั้งใจเรียนน้อยๆ เสียด้วยซ้ำ เพราะ
จะได้ชี้ชัดไปเลยว่า เราตั้งใจทำเพื่อแม่จริงๆ โดยไปบอกกับแม่ ในวันแม่ว่า “ผม/หนู จะตั้งใจเรียน แล้วเอาเกรดดีๆ มาให้แม่ ครับ/ค่ะ” เป็นวิธียิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว ทั้งแม่ดีใจ
การผลการเรียนดีขึ้นไปพร้อมกันเลย
m-luv2
4.พูดจาดี
ไพเราะอ่อนหวานกับแม่
บอกเล่าความรู้สึกที่ดีๆ จากการบอกรัก…แม่ ด้วยการพูดจาดี ไพเราะอ่อนหวานกับคุณแม่
เรามีเวลาจะคอยพูดคุยกับคุณแม่ก็ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นนะ
บอกรักต่อหน้าเวลาที่อยู่กับแม่ ถึงเเม้ว่าจะทะเลาะกับเเม่อยู่บ่อยๆ วันเเม่ปีนี้
ให้เลี่ยงสักวัน
5. พาแม่ไปทำบุญไหว้พระถวายสังฆทาน
พาแม่ไปเที่ยววัดที่แม่รักชื่นชอบเคารพศรัทธา
หรือวัดใกล้บ้านที่สะดวกในการเดินทาง
เพื่อไปทำบุญไหว้พระถวายสังฆทานแผ่เมตตาเสริมสิริมงคล หรือให้ไปทัวร์ 9 วัดก็ยังได้ อย่างน้อยก็ช่วยเพิ่มเสริมกำลังใจจากพลังศรัทธา
ตลอดจนทำให้ท่านมีจิตใจสงบร่มเย็น
6. ให้ของขวัญพิเศษสุดแด่แม่เลย
หากอยู่คนละบ้านและมีครอบครัวใหม่แล้ว
ควรพาภรรยาและลูกไปกราบคารวะแม่ที่บ้าน พร้อมหาของขวัญ
ของกินของใช้ติดไม้ติดมือไปฝากแม่ โดยเลือกซื้อของสุดโปรดที่แม่ชอบ
สิ่งที่แม่ต้องการมากๆ ก็คือเจอหน้าเรานั่นเอง
m-luv5
7. ทำอาหารจานโปรดของแม่ให้รับประทาน
ทำอาหารจานโปรดของคุณแม่ให้รับประทาน
และอยู่กินกับข้าวกับเเม่ ถึงแม้ว่าเราจะทำไม่เป็นก็ตามทีเถอะ
ขอเพียงแต่เราพยายามร่วมทำกิจกรรมของครอบครัว ให้แม่เห็นความพยายามของเรา
เท่านี้แม่ก็ดีใจมากแล้ว
8. ชวนแม่ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน
ชวนพ่อพาแม่ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน
ถามแม่ว่าอยากไปรับประทานอาหารที่ไหนดี หรือเราเสนอเลยก็ได้
เลือกรับประทานอาหารอร่อยและบรรยากาศที่ดีด้วยนะ
ที่สำคัญขอให้แม่ลูกได้นั่งรับประทานอาหารร่วมกันเท่านั้นแม่ก็ชื่นใจแล้ว
9. พาแม่ไปเที่ยวพักตามสถานที่นอกบ้าน
พาคุณแม่ไปเที่ยวพักนอกบ้านตามสถานที่ต่างๆ
จะพาไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือต่างประเทศและเป็นสถานที่ที่แม่อยากไป
หรือจะพาแม่ไปนวดตัว นวดเท้า เพื่อสุขภาพในต่างจังหวัดที่อากาศดีๆ
สิ่งสำคัญต้องดูแลเอาใจใส่แม่อย่างใกล้ชิดนะจ๊ะ
m-luv7
10. วันแม่ทั้งที
ก็อยู่กับคุณแม่สิจ๊ะ
วันแม่ทั้งที ก็อยู่กับคุณแม่สิจ๊ะ
และต้องเข้าใจในความรู้สึกของท่าน แม้เวลาจะนอน คืนนั้นขอนอนกับเเม่สักคืน
ถ้าเขินก็บอกเเม่ว่าเกิดกลัวการนอนคนเดียวขึ้นมา ลดละเลิกนิสัยแย่ๆ ที่แม่ไม่ชอบ
ถ้าทำให้แม่ได้รับรองได้ว่าแม่จะชื่นใจมากทีเดียว
11. ทำการ์ดอวยพรสวยๆ
ให้แม่
ทำการ์ดอวยพรสวยๆ ให้แม่ หรือหาภาพสวยๆ
ที่แม่ชอบมาติดภายในบ้านแม่ ในตำแหน่งที่แม่ชอบมอง หรืออาจจะแกล้งส่งภาพสวยๆ
น่ารักหรือข้อความอวยพรที่ประทับใจให้เเม่ได้ดู ได้อ่านทางโทรศัพท์มือถือ
ทั้งที่เราอยู่ข้างๆ แม่นั่นแหละดี
แต่อย่าเผลอแอบหัวเราะเสียก่อนนั้นแหละความจะแตก
12. เป็นคนดีของแม่ได้แล้วสิ
เป็นคนดีของแม่ได้แล้วสิ โดยเลิกนิสัยแย่ๆ
ที่แม่ไม่ชอบ ปีนี้ลองตั้งใจให้ของขวัญวันแม่ด้วยการจะเลิกบุหรี่ เลิกเหล้า
เลิกใช้เงินสิ้นเปลือง หยุดโต้เถียงกับแม่สักที
นิสัยเหล่านี้ถ้าเราทำให้แม่ได้รับรองได้ว่าแม่จะชื่นใจจนอาจกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เชียวล่ะ
13. โทรศัพท์มาคุยกับแม่
(หากอยู่ไกล)
ในกรณีที่กลับบ้านไม่ได้ หากอยู่ห่างไกล
และไม่สะดวกไปหาด้วยตนเอง โทรศัพท์หาเเม่สิ และโทรคุยนานกว่าปกติ ไม่คุยเรื่องเงิน
เรื่องเรียน เรื่องเครียด และไม่ต้องเสียดายเงินค่าโทรศัพท์นะ คุยกับเเม่เราเอง
คุยนานๆ และในวันคล้ายวันเกิดของเราด้วย
จิตวิทยาความรัก : ความรู้เรื่อง 'อกหัก'
อกหัก ผิดหวัง
เป็นเรื่องที่เกิดขึนได้กับคนทุกเพศทุกวัย
วันนี้ได้นำคำว่า อกหัก
จากวิกิพีเดีย มาฝาก ซึ่งแสดงความหมายไว้ได้อย่างน่าสนใจ และค่อนข้างกว้าง
เป็นอีกมุมนึง
และอยากให้ติดตามอ่านเรื่องต่างๆที่จะให้แง่คิดดีๆ
จากลิงค์ตอนท้ายของบทความนี้ด้วยนะคะ
อกหัก
คือวลีทั่วๆไปที่ใช้อธิบายความเจ็บปวดทางอารมณ์อย่างรุนแรง
หรือความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากการตาย, การหย่าร้าง, การโยกย้ายที่อยู่, ถูกปฏิเสธ ฯลฯ คำๆนี้เป็นคำที่มีใช้มาแต่โบราณและถูกใช้อย่างกว้างขวาง
อย่างน้อยก็มีการกล่าวถึงในวรรณคดีเรื่องรามายณะของอินเดีย ซึ่งถูกแต่งในช่วง พ.ศ.300
-743
โดยทั่วไปแล้ว อกหัก
มักจะเกี่ยวข้องกับการสูญเสียคู่สมรส หรือ คนที่รัก การสูญเสียผู้ให้กำเนิด, ลูก, สัตว์เลี้ยง หรือ เพื่อนสนิท
ก็อาจเรียกได้ว่าอกหัก เช่นกัน
วลีนี้เกี่ยวข้องถึงความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกจากการสูญเสีย และโดยทั่วไป
วลีนี้ก็มักจะใช้ในสภาพอาการนี้ ซึ่งถูกเรียกว่า Broken Heart Syndrome (หรือ Takotsubocardiomyopathy) อันมีสาเหตุมาจากการที่สมองหลั่งสารเคมีออกมาเพื่อทำให้เนื้อเยื่อหัวใจอ่อนแอลง
มุมมองในเชิงปรัชญา :
คนหลายๆคนไม่รู้ตัวถึงอาการอกหัก ในทันที แต่ใช้เวลาระยะหนึ่งในการรับรู้ถึงความเจ็บปวดทั้งทางอารมณ์และกายภาพอย่างสมบูรณ์
ดั่งที่ Jeffrey
Moussaieff Masson กล่าวเอาไว้ว่า :
มนุษย์หาได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ตนมีตลอดเวลา
เช่นเดียวกับเดรฉานที่ไม่สามารถแสดงความรู้สึกของมันออกมาเป็นคำพูดได้
นี่มิได้หมายความว่าพวกมันไม่มีความรู้สึก
ซิกมุนด์ ฟรอยด์เคยกล่าวเอาไว้ว่า
ผู้ชายอาจจะตกหลุมรักผู้หญิงสักคนหนึ่งได้ถึงเวลา 6 ปี
โดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งหลายอีกปีผ่านไป ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อโลก
เขาไม่สามารถบรรยายความรู้สึกที่เขาไม่รู้ออกมาเป็นคำพูดได้
เขามีความรู้สึกแต่เขาไม่รู้จักมัน
อาจจะดูเหมือนเป็นการขัดแย้งในตัวเองเพราะเราคิดถึงสิ่งที่เรารู้สึก
คิดถึงบางสิ่งที่เรารับรู้อย่างมีสติ ดั่งที่ฟรอยด์กล่าวเอาไว้ในบทความ The
Unconscious (จิตไร้สำนึก)
"เป็นที่แน่นอนที่สุดว่าแก่นแท้ของอารมณ์ที่เราควรจะตระหนักถึง
แต่ก็อีกนั่นแหละ มันยิ่งกว่าคำถามที่ว่าเราสามารถ "มี"
ความรู้สึกที่เราไม่รู้"
อาการอกหัก สามารถปรากฏได้โดยความเจ็บปวดทางจิต
แต่ก็มีหลายๆผลกระทบที่ส่งผลเชิงกายภาพ
ประสบการณ์อกหักนี้มักจะถูกคำนึงถึงในลักษณะที่อธิบายไม่ได้
รายการต่อไปนี้เป็นรายการของอาการโดยทั่วไปที่อาจเกิดขึ้น
ปวดแน่นหน้าอก ซึ่งคล้ายคลึงกับ Panic
attack
ปวดท้อง และ/หรือ ไม่อยากอาหาร
นอนไม่หลับ
โกรธ
ตกใจ
ระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
เซื่องซึม
รู้สึกเหงา
สูญเสียความหวัง และแรงขับเคลื่อน
สูญเสียความเคารพและความเชื่อมั่นในตนเอง
ความเจ็บป่วยทางการแพทย์และจิตวิทยา
มีความต้องการฆ่าตัวตาย
คลื่นไส้อาเจียน
เหนื่อยล้า
Thousand-yard stare
ร้องไห้ถี่ๆ หรือต่อเนื่อง
รู้สึกอ้างว้าง
ร้ายแรงที่สุดคือ ตรอมใจตาย
สำหรับคนที่มีอาการเหล่านี้
แนะนำให้พูดระบายกับครอบครัว หรือ คนใกล้ชิด ก่อน
หรือโทรไปปรึกษาได้ที่กรมสุขภาพจิต 02-526-3342 ตลอด 24 ชั่วโมง ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ
อ้างอิง ที่มาจาก วิกิพีเดีย




















